Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๔. อสัมปทานวรรค
ปัญจภีรุกชาดก
ว่าด้วยความสวัสดี

      พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระสูตร ว่าด้วยการประเล้าประโลมของมารธิดา ณ อชปาลนิโครธ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

      ความพิสดารว่า ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระสูตรนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบบริบูรณ์อย่างนี้ว่า :

      นางตัณหา นางอรดี และนางราคา ล้วน

      เพริศพริ้งแพรวพราว พากันมา พระศาสดาทรง

      กำจัดนางเหล่านั้นไปเสีย เหมือนลมพัดปุยนุ่น

      ให้หล่นกระจายไปฉะนั้น.

      พวกภิกษุประชุมกันในโรงธรรม ตั้งเรื่องสนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้ทรงลืมพระเนตร แลดูพวกมารธิดา อันจำแลงรูปทิพย์หลายร้อยอย่าง แล้วเข้าไปหา เพื่อจะเล้าโลม โอ ขึ้นชื่อว่า กำลังของพระพุทธเจ้า น่าอัศจรรย์ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันการที่ไม่แลดูพวกมารธิดาของเรา ผู้ทำให้อาสวะหมดสิ้นไปแล้ว บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูแล้ว ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย แท้จริงในกาลก่อน เรากำลังแสวงหาพระโพธิญาณ มิได้ทำลายอินทรีย์ทั้งหลายเสีย แลดูแม้ซึ่งรูปทิพย์ ที่พวกนางยักษิณีพากันเนรมิตไว้ด้วยอำนาจกิเลส ทั้งที่เรายังมีกิเลส ดำเนินไปจนบรรลุถึงความเป็นมหาราชได้" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

      ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นน้ององค์เล็กที่สุด ของพระพี่ยาเธอตั้ง ๑๐๐ องค์ เรื่องราวทั้งหมด บัณฑิตพึงให้พิสดารโดยนัยดังกล่าวแล้วในตักกสิลาชาดก ในหนหลังนั้นแล แปลกแต่ว่า ในครั้งนั้น เมื่อชาวเมืองตักกสิลา เข้าไปอัญเชิญพระโพธิสัตว์ ณ ศาลาภายนอกพระนคร มอบถวายราชสมบัติ กระทำการอภิเษกแล้ว ชาวตักกสิลานคร พากันตกแต่งพระนครเหมือนเมืองสวรรค์ ตกแต่งพระราชนิเวศน์ เหมือนวิมานอินทร์ ปางเมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จเข้าพระนครแล้ว ก็เสด็จขึ้นสู่บัลลังก์รัตน์ ภายใต้เศวตรฉัตรในท้องพระโรงหลวง ในปราสาทอันเป็นพระราชสถาน ประทับนั่งด้วยลีลาประหนึ่งท้าวเทวราช เหล่าอำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดี และขัตติยกุมาร ต่างแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมแวดล้อมโดยขนัด นางบำเรอประมาณหนึ่งหมื่นหกพันนาง ล้วนแน่งน้อย เปรียบประดุจเทพอัปสร ทุกนางต่างฉลาดในการฟ้อนรำ ขับร้อง และบรรเลง พระราชวังก็ครื้นเครงทั่วกัน ด้วยเสียงขับร้องและบรรเลงเพลงประสาน ปานประหนึ่งท้องมหาสมุทร ที่กำลังคะนองคลื่นเบื้องหน้า แต่เมฆฝนตกกระหน่ำแล้ว พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรดูศิริเสาวภาคอันบรรลุแก่พระองค์นั้น ทรงดำริว่า ถ้าเราจักพะวง แลดูรูปทิพย์ที่นางยักษิณีเหล่านั้นจำแลงเสียแล้วละก็ คงสิ้นชีวิตไปแล้ว คงไม่ได้ดูศิริเสาวภาคนี้ แต่เพราะเราตั้งอยู่ใน โอวาทของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ศิริโสภาคนี้ จึงบรรลุแก่เรา ครั้นทรงดำริฉะนี้แล้ว เมื่อจะทรงเปล่งพระอุทานได้ ตรัสพระคาถานี้ว่า :

"เราไม่ตกอยู่ในอำนาจของพวกรากษส

เพราะความเพียรมั่นคง ดำรงอยู่ในคำแนะนำของผู้ฉลาด

และความไม่หวาดหวั่นต่อภัย และความสยดสยอง

สวัสดิภาพจากภัยอันใหญ่หลวงจึงมีแก่เรา" ดังนี้.

      พระมหาสัตว์ทรงแสดงธรรมด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น เสด็จไปตามยถากรรม.

      พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

      เราตถาคต ได้เป็นราชกุมารผู้ไปปกครองราชสมบัติ ในพระนครตักกสิลา ในครั้งนั้น ฉะนี้แล.

จบ ภีรุกชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ