Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๘. วรุณวรรค

อสังกิยชาดก

เมตตากรุณาทำให้ปลอดภัย

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่า อุบาสกนั้นเป็นพระอริยสาวกผู้โสดาบัน เดินทางไปกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง ครั้นพ่อค้าเกวียนทั้งหลายปลดเกวียน ตั้งเพิงพักในที่ป่าตำบลหนึ่ง ก็เดินจงกรมอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง พวกโจร ๕๐๐ กำหนดเวลาของตนแล้ว คบคิดกันว่า พวกเราจักปล้นที่พัก ต่างถือธนูและไม้พลองเป็นต้น พากันไปล้อมที่นั้นไว้ แม้อุบาสกนั้นก็คงเดินจงกรมอยู่นั่นเอง โจรทั้งหลายเห็น อุบาสกนั้นแล้วคิดว่า ผู้นี้ต้องเป็นยามเฝ้าที่พักแน่นอน คอยให้ บุรุษผู้นี้หลับเสียก่อน พวกเราถึงจักปล้น เมื่อยังไม่อาจจู่โจม ก็ตั้งมั่นอยู่ในที่นั้น ๆ แม้อุบาสกนั้น ก็คงยังอธิษฐาน เดินจงกรม อยู่นั่นเอง ทั้งในปฐมยาม มัชฌิมยาม และแม้ในปัจฉิมยาม จนถึงเวลารุ่งสว่าง พวกโจรไม่ได้โอกาส ก็ทิ้งก้อนหินและไม้พลอง เป็นต้น ที่ต่างก็ถือกันมาแล้ว พากันหลบไป

อุบาสกกระทำกิจของตนสำเร็จแล้ว กลับมาสู่พระนครสาวัตถี เข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ที่กำลังรักษาตน ก็เป็นผู้รักษาผู้อื่นด้วยหรือพระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า “ถูกละ อุบาสก ผู้รักษาตนชื่อว่ารักษาผู้อื่น รักษาผู้อื่นก็ชื่อว่ารักษาตนนั่นแหละ” อุบาสกนั้น กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ข้าพระองค์ เดินทางไปกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง เดินจงกรมอยู่ที่โคนไม้ ด้วยคิดว่าจักรักษาตน กลายเป็นรักษาหมู่เกวียนทั้งหมดไว้แล้ว พระเจ้าข้า” พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนอุบาสก แม้ในครั้งก่อน บัณฑิตทั้งหลายรักษาตนอยู่ เป็นอันรักษาผู้อื่นด้วย” ดังนี้แล้ว ครั้นเมื่ออุบาสกนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว เห็นโทษในกาม จึงบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าหิมพานต์ มาสู่ชนบทเพื่อต้องการเสพรสเปรี้ยวรสเค็มบ้าง เมื่อท่องเที่ยวไปตามชนบท เดินทางไปกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง เมื่อขบวนเกวียนพักที่ป่าแห่งหนึ่ง ก็ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขเกิดแต่ฌาน ไม่ห่างกองเกวียน จงกรมอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่งแล้วยืนอยู่ ครั้งนั้น พวกโจร ๕๐๐ พากันมาด้วยคิดว่า จักปล้นหมู่เกวียนในเวลาที่ กินข้าวเย็นแล้ว โอบล้อมไว้ พวกโจรเหล่านั้นเห็นพระดาบส คิดว่า ถ้าพระดาบสนี้จักเห็นพวกเรา คงบอกชาวเกวียนเป็นแน่ ต่อเวลาท่านหลับ พวกเราค่อยปล้นกันเถิด แล้วพากันตั้งมั่น อยู่ ณ ที่นั้นเอง

ฝ่ายพระดาบสคงเดินไปมาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดคืน พวกโจรไม่ได้โอกาส ก็พากันทิ้งไม้พลองและก้อนหินที่ถือกันมา ตะโกนบอกชาวเกวียนว่า ชาวเกวียนผู้เจริญ ถ้าดาบสผู้ที่เดิน ไปมาอยู่ที่โคนต้นไม้องค์นี้ ไม่มีในวันนี้แล้ว พวกท่านทุกคน จักต้องประสบการปล้นอย่างขนานใหญ่เป็นแน่ พรุ่งนี้ พวกท่าน ควรกระทำสักการะใหญ่แด่พระดาบส ดังนี้แล้วพากันหลีกไป

ครั้นสว่างแจ้งแล้ว พวกกองเกวียน เห็นไม้พลองและก้อนหิน เป็นต้น ที่พวกโจรพากันทิ้งไว้ ต่างกลัวพากันไปสำนักพระโพธิสัตว์ ถามว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าเห็นพวกโจรหรือ” 

พระโพธิสัตว์ตอบว่า “เออ ผู้มีอายุทั้งหลาย เราเห็น”

พวกกองเกวียนถามว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้า เห็นโจรมีประมาณเท่านี้ ไม่มีความกลัว ความหวาดหวั่นเกิดขึ้น เลยหรือขอรับ” 

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ความกลัว ความครั่นคร้ามเพราะเห็นพวกโจร มีเฉพาะแก่คนมีทรัพย์ แต่อาตมาเป็นผู้ไร้ทรัพย์ จักต้องกลัวทำไม เพราะเมื่ออาตมาอยู่ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ความกลัวหรือความครั่นคร้าม ไม่มีทั้งนั้น”

พระโพธิสัตว์ ครั้นแสดงธรรมด้วยประการฉะนี้ อันมนุษย์เหล่านั้นผู้มีใจยินดีแล้ว สักการะบูชาแล้ว เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอดชีพ ไปเกิดในพรหมโลกแล้ว.

พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

ชาวเกวียนในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท

ส่วนพระดาบสมาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อสังกิยชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ